ป่ากับงานภูมิสถาปัตยกรรม
ป่ามีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภูมิสถาปนิกในการที่จะนำหลักการไปใช้ในการออกแบบ ภูมิสถาปัตย์เพราะงานภูมิสถาปัตยกรรมมีความเกี่ยวเนื่องครอบคลุมกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมซึ่งการเข้าใจป่าจะทำให้เราสามารถวางแผนออกแบบจัดการได้อยางเหมาะสมป่าไม้ในประเทศไทย เป็นป่าเขตร้อนมีสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และพืชหลากชนิดที่สุด และมีความสลับซับซ้อนและอุดมสมบูรณ์มากที่สุด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ป่าไม่ผลัดใบ (evergreen forest)
เป็นไม้ที่ผลัดใบแต่ไม่พร้อมกัน
- ป่าดงดิบ (tropical rain forest)มักขึ้นอยู่ในที่ราบและภูเขาสูงอยู่ในเขตมรสุมพัดผ่านตลอดปีมีปริมาณน้ำฝนมาก ดินชุ่มชื้นตลอดเวลา
- ป่าดงดิบชื้น (moist evergreen forest)
- ป่าดงดิบแล้ง (dry evergreen forest)
- ป่าดงดิบเขา (hill evergreen forest)
- ป่าสนเขา (pine forest) ส่วนใหญ่พบตามภูเขา บางแห่งเป็นป่าสนล้วนๆ บางแห่งปะปนกับป่าเต็งรังไม้พื้นล่างของป่าสนจะเป็นหญ้าต่างๆ
- ป่าชายเลน(mangrove forest) ส่วนใหญ่พบทางภาคใต้ พันธุ์ไม้สำคัญเช่น โกงกาง แสม ลำพู
- ป่าชายหาด(beach forest) เป็นป่าที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลที่มีดินเป็นทรายและโขดหิน
- ป่าน้ำขัง (swamp forest)
- ป่าบึงน้ำจืด (fresh water swamp) เป็นป่าที่ได้รับน้ำในฤดูน้ำหลาก, ฤดูฝน ฤดูอื่นน้ำจะแห้ง
- ป่าพรุ (peat swamp) เป็นป่าที่อยู่ในที่ต่ำเป็นแอ่งมีการทับถมของซากพืชที่ไม่ค่อยผุสลาย
ป่าผลัดใบ (diciduous forest)
เป็นป่าที่ประกอบด้วยพันธุ์พืชที่ผลัดใบพร้อมๆกันในฤดูแล้ง และแตกใบใหม่พร้อมๆกันต้นฤดูฝนทำให้เห็นว่ามีการผลัดใบชัดเจน
- ป่าเบญจพรรณ (mixed diciduous forest) เป็นป่าที่พบในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ไม่พบในภาคใต้และตะวันออก เป็นป่าโปร่งประกอบด้วยไม้ขนาดกลางและใหญ่ มีไผ่และหญ้าเป็นไม้พื้นล่าง
- ป่าเต็งรัง (dry dipterocary forest)โครงสร้างเหมือนป่าเบญจพรรณ ต่างกันเพียงพันธุ์ไม้และวัตถุต้นกำเนิดดิน คือ limestone
- ทุ่งหญ้า (savana)
- ป่ารุ่น (secondary growth) เป็นป่าธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วถูกทำลายลงไป กำลังอยู่ในระหว่างการทดแทน ซึ่งพ้นสภาพทุ่งหญ้าไปแล้ว
- ป่าเขาหินปูน (limestone forest) เป็นป่าที่เกิดขึ้นบนเขาหินปูนโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่เป็นป่าโปร่ง พันธุ์ไม้เตี้ยอาจแคระแกร็น เช่น ตะโก ข่อย จันทน์ผา พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
ป่าไม้ของประเทศไทยถูกทำลายลดลงเรื่อยๆ ก่อให้เกิดปัญหากระทบต่อสิ่งแวดล้อมในลักษณะลูกโซ่ คือเมื่อป่าลดลง ทำให้เกิดภาวะแห้งแล้งเนื่องจากต้นน้ำลำธารได้ถูกทำลาย ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อมีน้ำหลาก ดินจะถูกชะล้างพังทลายเป็นปัญหาต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้มีโครงการพระราชดำริเพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาฟื้นฟูเกี่ยวกับป่าไม้โดยได้กล่าวถึงแนวการอนุรักษ์และพัฒนาป่าไม้โดยทั่วไป และป่าไม้ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะพื้นที่ เช่น ป่าชายเลน ป่าพรุ เพื่อเป็นแนวทางแก่พื้นที่ที่มีลักษณะแตกต่างกันของส่วนต่างๆของประเทศไทยตลอดจนแนวทางป้องกันไฟป่า โดยใช้หลัก ป่าเปียก ดังจะกล่าวต่อไป
โดยจำแนกออกได้เป็น 4 หัวข้อจากแนวพระราชดำริที่ทรงเน้น
ตัวอย่างโครงการพระราชดำริในเรื่องเกี่ยวกับป่า
- โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา
- โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จ.นราธิวาส
- โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน จ.สกลนคร
- โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย จ.เพชรบุรี เน้นเรื่องป่าเปียก,ป่าชายเลน
- โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี เน้นเรื่องสภาพแวดล้อม การฟื้นฟูป่าชายเลนและโครงการอนุรักษ์หญ้าทะเล
- โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่ เน้นเรื่องทฤษฏีการปลูกป่า 3 อย่าง
- โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำแม่อาว จ.ลำพูน เน้นเรื่องการพัฒนาและฟื้นฟู
- โครงการห้วยองคต จ.กาญจนบุรี เน้นเรื่องการฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อม(rehabilitation)
- โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี เน้นการรักษาสภาพป่าชายเลนโดยวิธีทางธรรมชาติ
- โครงการพัฒนาปากน้ำปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
- โครงการพัฒนาเบ็ดเสร็จลุ่มน้ำสาขาแม่ปิง จ.เชียงใหม่และลำพูน เน้นการปลูกป่า การทำแนวกันไฟ
- โครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
- โครงการศูนย์ศึกษาวิจัยธรรมชาติและป่าพรุสิรินธร